|
นานาทัศนะทะเลไทย ครบ 1 ปี หลังสึนามิ
|
|
หลังสึนามิทะเลไทยฝั่งอันดามันเสียหายบ้างในบางส่วนซึ่งคงต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นตัวให้กลับมาสวยงามดังเดิม(ภาพ : ททท.) |
|
|
เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 นอกจากจะทำให้ชีวิตนับแสนต้องจบชีวิตลง พร้อมๆกับข้าวของทรัพย์สินสูญหายพังทลาย ท้องทะเลไทยฝั่งอันดามันก็นับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับผลจะทบจากสึนามิ
เรื่องนี้เหล่าผู้คุ้นเคยกับทะเลไทยต่างก็มีทัศนะเกี่ยวกับทะเลไทยฝั่งอันดามันหลัง 1 ปีสึนามิแตกต่างกันออกไป
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์คณะประมง มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลไทย เล่าว่า ก่อนเหตุการณ์สึนามิใต้ท้องทะเลไทยมีความหลากหลายของทรัพยากรใต้น้ำ สวยงาม และสมบูรณ์สูง แต่เพราะคนเราใช้ประโยชน์จากทะเลเยอะเกินไป จึงทำให้ทะเลเสื่อมโทรมลง
ทะเลหลังสึนามิเปรียบเหมือนทะเลป่วย สึนามิทำให้ทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบมาก สถานที่ที่ได้รับผลกระทบเยอะคือระนอง พังงา หลังจากนั้นก็มีกิจกรรมต่างๆเพื่อช่วยเหลือและพื้นฟูท้องทะเล
ในเรื่องของทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ดร.ธรณ์ให้ความเห็นว่า ชายหาดสะอาดขึ้นเพราะคลื่นได้กวาดเอาขยะต่างๆลงทะเลหมดแล้ว ในแนวปะการังจึงมีขยะเยอะขึ้น เช่นที่เกาะพีพี เพราะน้ำได้พัดพาเอาขยะบนพื้นดินลงไปในน้ำ ทำให้ไปติดอยู่ตามหินปะการัง ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ปะการังตาย แต่ได้มีโครงการช่วยกันเก็บขยะเกิดขึ้นหลายโครงการ ส่วนที่เกาะสุรินทร์ เกาะสิมิลัน มีการเก็บขยะหมดแล้ว เพราะเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยมีบ้านเรือน
ในเรื่องของคุณภาพของน้ำยังคงเหมือนเดิม คลื่นยักษ์ไม่ได้ทำให้ความใสของน้ำเปลี่ยนแปลง มันแล้วแต่จังหวะเวลา แต่ละวันน้ำไม่เหมือนเดิม บางวันใสบางวันขุ่น ในส่วนของปลาก็เช่นเดียวกันใต้ท้องทะเลจริงๆแล้วไม่มีปลาพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น แต่ที่เราๆเห็นว่ามีปลาแปลกๆ ก็เพราะปลาที่เลี้ยงอยู่ในกระชังหลุดออกมาจากผลกระทบของสึนามิ ไม่ใช่เป็นปลาที่ว่ายมาจากที่อื่นแต่อย่างใด
"ช่วงหลังเหตุการณ์สึนามินักท่องเที่ยวหายไปมากทำให้ทะเลมีเวลาพักฟื้นตัวขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเที่ยวในพื้นที่อีกครั้ง และเมื่อเรากลับมาใช้ทะเลมากเท่าเดิมทะเลก็คงจะทรุดโทรมลงเช่นกัน ดังนั้นน่าจะมีแผนรองรับนักท่องเที่ยวที่ชัดเจน และไม่ทำอันตรายแก่ท้องทะเล" ดร.ธรณ์ กล่าว
ด้าน นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำชื่อดัง เล่าในทำนองเดียวกันว่า หลังสึนามิได้ไปทะเลฝั่งอันดามันมา 2-3 ครั้ง เห็นบางจุดเปลี่ยนไป บางที่ได้รับผลกระทบมาก บางที่น้อย แต่ถ้าคิดเป็นพื้นที่ก็จะไม่เยอะ อย่างเช่น สภาพของแนวปะการังบริเวณเกาะเก้าของหมู่เกาะสิมิลัน ที่แทบจำไม่ได้เลย เพราะแนวปะการังถูกทรายถล่มหักพัง ซึ่งก่อนสึนามิปะการังที่นี่จะสวยงามและสมบูรณ์ ส่วนบริเวณอ่าวช่องขาดเกาะสุรินทร์ ก็ได้รับผลกระทบเยอะเช่นกัน ดังนั้นการปรับปรุงพื้นที่คงต้องใช้เวลา และเราควรต้องรักษาสิ่งที่มีอยู่ไม่ให้ถูกทำลายไปมากกว่านี้
"สำหรับปลาในท้องทะเลยังเหมือนเดิม มีเยอะเท่าเดิม เพราะปลารู้จักหลบเลี่ยงไม่เหมือนปะการัง ซึ่งไม่สามารถว่ายหรือเดินหลบไปที่อื่นได้ ส่วนน้ำทะเลนี่ น้ำใสขึ้นแค่ช่วงเดียวคือหลังจากเหตุการณ์ เพราะน้ำจากนอกมหาสมุทรไหลเข้ามา แต่หลังจากนั้นน้ำจะใสหรือขุ่นไม่เหมือนกันในแต่ละวันแต่ละช่วงเวลา เนื่องจากอิทธิพลของลมหรือมรสุมต่างๆด้วย"
"ทะเลก็คือทะเล ทะเลไทยยังน่าไปเที่ยวอยู่ เพราะไปง่าย แต่ถ้าช่วงเทศกาลไม่น่าเที่ยวเลย เพราะมีคนมากกว่าพื้นที่ แม้จะไม่มีปะการังเหลืออยู่แต่ถ้าคนกับพื้นที่สมดุลทะเลก็ยังคงน่าไปเที่ยว"นัท สรุป
ในขณะที่ จำลอง บุญสอง บรรณาธิการหน้าท่องเที่ยวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เล่าถึงสถานการณ์ที่ได้ไปสำรวจพื้นที่ด้วยตัวเองว่า อ่าวมาหยาไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสึนามิมากนัก ทะเลที่อ่าวมาหยาหลังสึนามิจึงไม่มีอะไรเสียหาย แต่กลับทำให้น้ำทะเลมีสีฟ้าใสสะอาดกว่าเดิม เนื่องจากสึนามิจะพัดเอาตะกอนที่ตกค้างกลับทะเล และคนก็ไม่มากเท่าก่อนเหตุการณ์สึนามิ ปกติจะเหมือนสลัมที่ใครๆก็พากันไป แต่ตอนนี้ได้เจอได้สัมผัสกับธรรมชาติจริงๆ
"หลังจากเกิดสึนามิทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าไปเที่ยวทะเลอีก ทำให้โรงแรมรีสอร์ทต่างๆแข่งกันลดราคาเพื่อเรียกลูกค้า คนที่ชอบเที่ยวก็ได้ประโยชน์เพราะราคาที่พักถูกลง"จำลองกล่าว
ด้านของวินิจ รังผึ้ง บรรณาธิการอนุสารอสท. กล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์สึนามิ ทะเลแย่ลงเพราะสูญเสียทรัพยากรทั้งบนบกและในน้ำ ที่เห็นเด่นชัดก็คงจะเป็นที่เขาหลัก , ภูเก็ต (หาดกมลา,หาดป่าตอง) เกาะพีพี บริเวณตลาด ชุมชน อ่าวต้นไทรถูกกวาดเรียบ แม้ปัจจุบันการฟื้นฟูและการจัดระเบียบก็ยังไม่มีความแน่นอน ส่วนใต้ท้องทะเลแหล่งดำน้ำสำคัญๆได้รับผลกระทบโดยเฉพาะแหล่งดำน้ำตื้นที่หมู่เกาะสุรินทร์บริเวณอ่าวช่องขาด ปะการังแตกหักเสียหาย เนื่องจากถูกคลื่นพัดเอาทรายมาทับถมกลบปะการัง ซึ่งโครงสร้างของปะการังต้องอาศัยกระแสน้ำพัดพาอาหารมา เมื่อถูกทรายทับถมจึงทำให้ไม่สามารถรับอาหาร แสงแดดได้จึงตายไปเป็นจำนวนมาก
"หมู่เกาะสิมิลันที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดดำน้ำที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ ปะการังโครงสร้างแข็ง เช่นปะการังเขากวาง ปะการังกิ่ง โดนคลื่นซัดแตกหักเสียหาย แต่ปะการังอ่อนบางส่วนไม่มีผลกระทบ เพราะจะลู่ไปตามกระแสน้ำ หมู่เกาะที่เป็นอ่าว หรือหาดที่ตื้นจะได้รับผลกระทบมาก เพราะคลื่นจะซัดเข้าฝั่งแล้วม้วนกลับทำให้ได้รับความเสียหาย"
วินิจ บอกอีกว่าเป็นความโชคดีที่หลังเหตุการณ์สึนามิ หลายฝ่ายหันมาสนใจศึกษาปะการังมากขึ้น มีนักวิชาการหลายแห่งได้ทำการสำรวจปะการังใต้ทะเลหลังสึนามิ พบว่าน่าแปลกที่ปะการังแข็งที่เติบโตช้ามาก 10ปีอาจเติบโตแค่ 1 นิ้ว กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติ บางกิ่งบางหน่อฟื้นได้เร็วเป็นเซนติเมตรภายใน 5-6 เดือนเท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่าแต่ก่อนมีปะการังใหญ่ๆมาก ทำให้เกิดการแย่งอาหารกัน เมื่อมีปะการังน้อยลงจึงทำให้เติบโตได้เร็วขึ้น ส่วนปลาที่เคยอาศัยอยู่ใกล้แนวปะการังที่เคยอุดมสมบูรณ์ หลังจากเหตุการณ์ทำให้ปะการังตายปลาก็ไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้ จนต้องอพยพไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่
"นักดำน้ำที่ไปดำน้ำมาอาจพบปลาแปลกๆ เช่นปลานโปเลียน(ตัวใหญ่หัวโหนก) ที่เจอบ่อยบริเวณเกาะสิมิลัน บางคนคิดว่าเป็นผลจากสึนามิ แต่ก็เป็นแค่การสันนิฐาน ต้องรอการพิสูจน์จากนักวิชาการ"
นอกจากนี้วินิจยังกล่าวว่า ช่วงแรกๆหลังสึนามิ น้ำทะเลใสขึ้นกว่าเดิม แต่ท้องทะเลไม่มีอะไรแน่นอน น้ำอาจจะใสอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อเจอคลื่นลมก็มีขุ่นบ้าง น่าเสียดายที่ตอนนี้เริ่มฤดูท่องเที่ยวอันดามัน ซึ่งปกติคลื่นลมจะสงบแล้ว แต่ปีนี้ฤดูกาลคลาดเคลื่อน ฝนยังไม่หยุดตก น้ำยังคงท่วมภาคใต้ เลยส่งผลให้น้ำจืดจากฝั่งไหลลงทะเลเยอะ น้ำทะเลทั้งสองฝั่งทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันจึงยังไม่ใส ต้องรอให้หมดฝนจริงๆน้ำทะเลจึงจะกลับมาใสอีกครั้ง
"ตอนนี้ คิดว่าหลายๆอย่างเริ่มจะดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลมมรสุมที่พัดมาประจำ4- 5 เดือนทุกปี ทำให้ทะเลถูกเกลี่ยให้กลับสู้สภาพเดิมเช่น ทะเลแหวกที่กระบี่ ปัจจุบันกลับมาคล้ายกับสภาพเดิมแล้ว ไม่เหมือนสึนามิที่จะพัดมาแค่ช่วงเวลาเดียว"
"เมื่อทรัพยากรทางทะเลกำลังฟื้นคืนสู่สภาวะเดิมที่เคยอุดมสมบูรณ์จากความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายและด้วยตัวของธรรมชาติเอง ซึ่งนักท่องเที่ยวกำลังจะได้เห็นความสวยงามที่เคยมีมาอีกครั้ง แต่ถ้านักท่องเที่ยวยังคงตักตวงประโยชน์จากธรรมชาติโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา ไม่อนุรักษ์รักษาสภาพเดิมของธรรมชาติไว้ อีกไม่นานธรรมชาติและท้องทะเลก็คงถูกทำลายมีสภาพไม่ต่างจากโดนสึนามิ" วินิจกล่าวทิ้งท้าย
|
|
ขอขอบคุณ ที่มา : โดย ผู้จัดการออนไลน์ |
25 ธันวาคม 2548 17:02 น. |
|
Travel News!!
|